วันนี้โดดเรียน Eng เป็นครั้งแรกในรอบเทอม (นอนเพลินน zZ) ตกเย็นไปวิ่งในมอ อากาศ
Chill มาก จัดไปสองรอบเต็มๆ
1. " ฉันอยากจะมีชีวิตที่เป็นของตัวเอง แทนที่จะเป็นในแบบที่คนอื่นอยากให้ฉันเป็น "
นี่เป็นอันดับแรกสุดที่หลายคนปรารถนาอยากให้มันเกิดขึ้นขณะที่พวกเขายังมีกำลังวังชาดี ณ เวลาปัจจุบันที่พวกเขามองย้อนกลับไป จึงได้พบว่ามีหลายความหวังและความฝัน ที่เขายังไม่มีโอกาสแม้แต่จะเริ่มต้นลงมือทำ พอมานึกได้ตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว เขาไม่มีกำลังเหลือที่จะต่อสู้เพื่อความฝันอีกต่อไป ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเขาล้วนแต่วิ่งไล่ตามสิ่งที่คนอื่นอยากเห็นเขาทำ อยากให้เขาเป็น จนลืมไล่ตามความฝันของตัวเอง
นี่เป็นอันดับแรกสุดที่หลายคนปรารถนาอยากให้มันเกิดขึ้นขณะที่พวกเขายังมีกำลังวังชาดี ณ เวลาปัจจุบันที่พวกเขามองย้อนกลับไป จึงได้พบว่ามีหลายความหวังและความฝัน ที่เขายังไม่มีโอกาสแม้แต่จะเริ่มต้นลงมือทำ พอมานึกได้ตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว เขาไม่มีกำลังเหลือที่จะต่อสู้เพื่อความฝันอีกต่อไป ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเขาล้วนแต่วิ่งไล่ตามสิ่งที่คนอื่นอยากเห็นเขาทำ อยากให้เขาเป็น จนลืมไล่ตามความฝันของตัวเอง
2. " ฉันไม่น่าจะทุ่มเททำแต่งานมากขนาดนั้น "
คนไข้ชายแทบทุกคนพูดเช่นนี้กับเธอ เพราะผู้ชายพวกนั้นล้วนเป็นหัวหน้าครอบครัว และรับผิดชอบในการหาเงินมาจุนเจือดูแลสมาชิกในบ้าน เมื่อมองย้อนกลับไปพวกเขาจึงไม่อาจระงับความเสียใจได้ ที่ไม่ได้ใช้เวลากับลูก ๆ และภรรยาให้มากกว่านี้ พวกเขาเสียใจอย่างสุดซึ้งที่เอาแต่โหมทำงานหนัก จนละเลยการใช้เวลากับครอบครัว ...มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเราจะเพิ่มเวลาว่างให้แต่ละวันในชีวิต และใช้ช่วงเวลาเหล่านั้นกับบุคคลอันเป็นที่รัก มีความสุขในแต่ละวันมากขึ้น และไม่ต้องมานั่งเสียใจเมื่อสายเกินไปแบบนี้ด้วย
คนไข้ชายแทบทุกคนพูดเช่นนี้กับเธอ เพราะผู้ชายพวกนั้นล้วนเป็นหัวหน้าครอบครัว และรับผิดชอบในการหาเงินมาจุนเจือดูแลสมาชิกในบ้าน เมื่อมองย้อนกลับไปพวกเขาจึงไม่อาจระงับความเสียใจได้ ที่ไม่ได้ใช้เวลากับลูก ๆ และภรรยาให้มากกว่านี้ พวกเขาเสียใจอย่างสุดซึ้งที่เอาแต่โหมทำงานหนัก จนละเลยการใช้เวลากับครอบครัว ...มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเราจะเพิ่มเวลาว่างให้แต่ละวันในชีวิต และใช้ช่วงเวลาเหล่านั้นกับบุคคลอันเป็นที่รัก มีความสุขในแต่ละวันมากขึ้น และไม่ต้องมานั่งเสียใจเมื่อสายเกินไปแบบนี้ด้วย
3. " ฉันน่าจะได้พูดเรื่องนั้นออกไป "
คนไข้หลาย ๆ คนเสียใจที่ตัวเองไม่ได้พูดในสิ่งที่อยากพูดออกมา หลายคนเลือกที่จะสงบปากสงบคำเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ หรือผิดใจกับผู้อื่น จนทำให้อาการป่วยหลาย ๆ อย่างพัฒนาขึ้นมาจากความเครียดที่ ต้องเก็บงำสิ่งเหล่านี้เอาไว้นั่นเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาจึงกล่าวได้ว่าผู้ป่วยของเธอไม่ได้แสดงความเป็นตัวของตัว เองที่แท้จริงออกมาเลย
คนไข้หลาย ๆ คนเสียใจที่ตัวเองไม่ได้พูดในสิ่งที่อยากพูดออกมา หลายคนเลือกที่จะสงบปากสงบคำเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ หรือผิดใจกับผู้อื่น จนทำให้อาการป่วยหลาย ๆ อย่างพัฒนาขึ้นมาจากความเครียดที่ ต้องเก็บงำสิ่งเหล่านี้เอาไว้นั่นเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาจึงกล่าวได้ว่าผู้ป่วยของเธอไม่ได้แสดงความเป็นตัวของตัว เองที่แท้จริงออกมาเลย
4. " ฉันอยากใช้เวลากับเพื่อนสนิทให้มากกว่านี้ "
หลายครั้งหลายหนนักที่กว่าเราจะเข้าใจความสำคัญและยิ่งใหญ่ของมิตรภาพก็เมื่อเวลาล่วงเลยจนสายเกินไป คนไข้จำนวนไม่น้อยของเธอต่างรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ให้เวลาในการบำรุงรักษามิตรภาพเก่าแก่ของตน ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นเกิดจากวิถีการใช้ชีวิตแบบใหม่ที่ยุ่งและเร่งรีบเสียจนเวลาในหนึ่งวันไม่เหลือพอให้คิดถึงสหายที่เคยกอดคอร่วมกันมา แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปจนถึงช่วงระยะเวลาสุดท้ายของชีวิต หนึ่งในสิ่งที่พวกเขาโหยหามากที่สุดก็คือความรักจากมิตรสหาย อยากพบหน้า อยากพูดคุย อยากใช้เวลาด้วยกันให้มากกว่าที่ผ่านมา
หลายครั้งหลายหนนักที่กว่าเราจะเข้าใจความสำคัญและยิ่งใหญ่ของมิตรภาพก็เมื่อเวลาล่วงเลยจนสายเกินไป คนไข้จำนวนไม่น้อยของเธอต่างรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ให้เวลาในการบำรุงรักษามิตรภาพเก่าแก่ของตน ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นเกิดจากวิถีการใช้ชีวิตแบบใหม่ที่ยุ่งและเร่งรีบเสียจนเวลาในหนึ่งวันไม่เหลือพอให้คิดถึงสหายที่เคยกอดคอร่วมกันมา แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปจนถึงช่วงระยะเวลาสุดท้ายของชีวิต หนึ่งในสิ่งที่พวกเขาโหยหามากที่สุดก็คือความรักจากมิตรสหาย อยากพบหน้า อยากพูดคุย อยากใช้เวลาด้วยกันให้มากกว่าที่ผ่านมา
5. " ฉันอยากใช้ชีวิตให้มีความสุขมากกว่านี้ "
คนไข้ที่พูดเช่นนี้หาได้ไม่พอใจใน ความเป็นอยู่ของชีวิตที่เคยเป็นมา แต่เป็นเพราะว่าเมื่อมองย้อนกลับไป พวกเขากลับพบหนทางมากมายเหลือเกินที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขได้มากกว่าเดิม แต่พวกเขากลับไม่เลือกเดินทางนั้น ที่ผ่านมาพวกเขาใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง กลัวสิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตที่เป็นอยู่ให้ต่างไปจากเดิม โดยที่ยังไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลง นั้นจะเป็นไปในทิศทางใด จะดีหรือว่าร้าย ทำให้ชีวิตย่ำอยู่บนกรอบแคบ ๆ อันเดิม กิจวัตรในแต่ละวันคงเดิม ไม่มีความแปลกใหม่ ไม่มีสีสันที่จะทำให้ชีวิตน่าจดจำเลย
คนไข้ที่พูดเช่นนี้หาได้ไม่พอใจใน ความเป็นอยู่ของชีวิตที่เคยเป็นมา แต่เป็นเพราะว่าเมื่อมองย้อนกลับไป พวกเขากลับพบหนทางมากมายเหลือเกินที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขได้มากกว่าเดิม แต่พวกเขากลับไม่เลือกเดินทางนั้น ที่ผ่านมาพวกเขาใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง กลัวสิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตที่เป็นอยู่ให้ต่างไปจากเดิม โดยที่ยังไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลง นั้นจะเป็นไปในทิศทางใด จะดีหรือว่าร้าย ทำให้ชีวิตย่ำอยู่บนกรอบแคบ ๆ อันเดิม กิจวัตรในแต่ละวันคงเดิม ไม่มีความแปลกใหม่ ไม่มีสีสันที่จะทำให้ชีวิตน่าจดจำเลย
วันอังคารที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๔
วันนี้บอกตรงๆว่า " เหนื่อยโคตรๆ " นั่งเรียนไปแอบงีบไป มึนหัวกับ OO PHP และ กฎหมาย
เลิกเรียนสี่โมงครึ่ง หลังจากนั้นผมและทีมงาน Combo ก็ไปช่วยเตรียมงานของชมรมศิลปะวัฒนธรรม
ภาคใต้ ที่ลานแสงจันทร์ ในงานนักศึกษาและบุคลากรมากันเยอะมากก มีการแสดงที่ตื่นตาตื่นใจอย่าง
หลากหลายรวมถึงการแสดงของชมรม Combo ด้วยและปิดท้ายด้วยหนังตะลุง ผมนั่งหัวเราะท้องแข็ง
ฮากันขี้แตกกกไปเลย ทำให้รู้สึกว่าความเหนื่อยตลอดวันนั้นมันหายไป
...ทั้งนี้สามารถเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งตามแต่ความเหมาะสมก็ได้เช่นกัน โดยทริคง่าย ๆ มีดังนี้
1. ดื่มน้ำเมล็ดแมงลักแช่น้ำ โดยใช้เมล็ดแมงลัก 2 ช้อนชา แช่น้ำให้พองเต็มที่ในน้ำเปล่า 1 แก้ว
( 250 ซีซี ) แล้วดื่ม
2. กินมะละกอสุกประมาณ 1/4 ลูก
3. ดื่มน้ำอุ่น 3–4 แก้ว ( 750–1,000 ซีซี ) ขณะท้องว่าง หรือเพิ่งลุกจากที่นอนและควรดื่มภายใน 10–15 นาที ทั้งนี้ควรดื่มในขณะยืนเพื่อไม่ให้รู้สึกจุก หรือดื่มตอนเดินไปมาเพื่อให้ลำไส้ขยับตัว
4. รับประทานลูกพรุนแห้งก่อนเข้านอน แต่ไม่ควรกินมากและบ่อยเนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลสูง
5. ดื่มน้ำมะขามเปียกค่อนข้างเข้มข้น ประมาณ 1 แก้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นควรดูปริมาณที่เหมาะสม
6. ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา และไม่ควรกลั้นอุจจาระจนติดเป็นนิสัย
7. หมั่นเดินออกกำลังกาย ประมาณ 20–30 นาที จะช่วยให้ระบบลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น
8. ลองนวดบริเวณลำไส้ใหญ่ โดยนวดที่บริเวณใต้สะดือใช้มือนวดวนตามแนวลำไส้ใหญ่
(ทวนเข็มนาฬิกา) ทำสักพักจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ
9. เปลี่ยนท่านั่งในการเข้าห้องน้ำเพื่อให้ขับถ่ายดีขึ้น โดยให้นั่งยอง ๆ แบบส้วมหลุม เนื่องจากจะทำให้ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายอยู่ในลักษณะตรง ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายและไม่มีอุจจาระเหลือค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าบ้านไหนเป็นชักโครก เวลานั่งให้หากล่องหรือถังขยะมาวางเท้า เพื่อให้เข่ายกสูงขึ้น
เลิกเรียนสี่โมงครึ่ง หลังจากนั้นผมและทีมงาน Combo ก็ไปช่วยเตรียมงานของชมรมศิลปะวัฒนธรรม
ภาคใต้ ที่ลานแสงจันทร์ ในงานนักศึกษาและบุคลากรมากันเยอะมากก มีการแสดงที่ตื่นตาตื่นใจอย่าง
หลากหลายรวมถึงการแสดงของชมรม Combo ด้วยและปิดท้ายด้วยหนังตะลุง ผมนั่งหัวเราะท้องแข็ง
ฮากันขี้แตกกกไปเลย ทำให้รู้สึกว่าความเหนื่อยตลอดวันนั้นมันหายไป
...ทั้งนี้สามารถเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งตามแต่ความเหมาะสมก็ได้เช่นกัน โดยทริคง่าย ๆ มีดังนี้
1. ดื่มน้ำเมล็ดแมงลักแช่น้ำ โดยใช้เมล็ดแมงลัก 2 ช้อนชา แช่น้ำให้พองเต็มที่ในน้ำเปล่า 1 แก้ว
( 250 ซีซี ) แล้วดื่ม
2. กินมะละกอสุกประมาณ 1/4 ลูก
3. ดื่มน้ำอุ่น 3–4 แก้ว ( 750–1,000 ซีซี ) ขณะท้องว่าง หรือเพิ่งลุกจากที่นอนและควรดื่มภายใน 10–15 นาที ทั้งนี้ควรดื่มในขณะยืนเพื่อไม่ให้รู้สึกจุก หรือดื่มตอนเดินไปมาเพื่อให้ลำไส้ขยับตัว
4. รับประทานลูกพรุนแห้งก่อนเข้านอน แต่ไม่ควรกินมากและบ่อยเนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลสูง
5. ดื่มน้ำมะขามเปียกค่อนข้างเข้มข้น ประมาณ 1 แก้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นควรดูปริมาณที่เหมาะสม
6. ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา และไม่ควรกลั้นอุจจาระจนติดเป็นนิสัย
7. หมั่นเดินออกกำลังกาย ประมาณ 20–30 นาที จะช่วยให้ระบบลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น
8. ลองนวดบริเวณลำไส้ใหญ่ โดยนวดที่บริเวณใต้สะดือใช้มือนวดวนตามแนวลำไส้ใหญ่
(ทวนเข็มนาฬิกา) ทำสักพักจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ
9. เปลี่ยนท่านั่งในการเข้าห้องน้ำเพื่อให้ขับถ่ายดีขึ้น โดยให้นั่งยอง ๆ แบบส้วมหลุม เนื่องจากจะทำให้ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายอยู่ในลักษณะตรง ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายและไม่มีอุจจาระเหลือค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าบ้านไหนเป็นชักโครก เวลานั่งให้หากล่องหรือถังขยะมาวางเท้า เพื่อให้เข่ายกสูงขึ้น
. . .เท่านี้ก็จะช่วยให้ท้องผูกหายได้ไม่ยาก
วันนี้เกือบได้แจ๊คพ็อตคาบ HCI ผมไปเรียนสาย อาจารย์ Anny ควิซต้นคาบ เพื่อนๆคนอื่นเค้าเริ่ม
ลงมือไปสักพัก พอผมได้ข้อสอบปุ๊บก็เริ่มกวาดสายตาไปรอบๆเพื่อหาคำตอบ ฮ่าๆๆ โชคดีที่วิทยายุทธ
ของผมแกร่งพอตัว จึงทำเส็ดส่งทันเวลาพอดี (เฮ้อออ หวางไป) วันนี้เรียนเลิกเที่ยง เหมือนสวรรค์มา
โปรด กินข้าวเที่ยงเสร็จกลับห้องแล้วอาบน้ำทาแป้งเย็น หลังจากนั้น zZ ยาวว เพราะเมื่อคืนวานทำงาน
หนักไปหน่อย พอทุ่มนึงตื่นมากินข้าวแล้วก้อ zZ
วันพุธที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๔
วันนี้เกือบได้แจ๊คพ็อตคาบ HCI ผมไปเรียนสาย อาจารย์ Anny ควิซต้นคาบ เพื่อนๆคนอื่นเค้าเริ่ม
ลงมือไปสักพัก พอผมได้ข้อสอบปุ๊บก็เริ่มกวาดสายตาไปรอบๆเพื่อหาคำตอบ ฮ่าๆๆ โชคดีที่วิทยายุทธ
ของผมแกร่งพอตัว จึงทำเส็ดส่งทันเวลาพอดี (เฮ้อออ หวางไป) วันนี้เรียนเลิกเที่ยง เหมือนสวรรค์มา
โปรด กินข้าวเที่ยงเสร็จกลับห้องแล้วอาบน้ำทาแป้งเย็น หลังจากนั้น zZ ยาวว เพราะเมื่อคืนวานทำงาน
หนักไปหน่อย พอทุ่มนึงตื่นมากินข้าวแล้วก้อ zZ
บทความดีๆสำหรับวันนี้ : กินกล้วย-บ๊วยเค็ม ป้องกันเป็นลมแดด
ผู้ที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง หรือทำงานกลางแจ้ง ต้องหมั่นจิบน้ำเป็นประจำ เนื่องจากความร้อนจะทำให้ร่างกายเสียเหงื่อ ที่มีทั้งน้ำและเกลือแร่รวมอยู่ด้วย หากร่างกายขาดน้ำมากๆ อุณหภูมิภายในร่างกายจะเพิ่มสูงขึ้น เกิดภาวะช็อกจากความร้อน หรือเป็นลมแดด ถ้าเรียกให้เป็นทางการก็คือ ‘ ฮีตสโตก ’ นั่นเอง
อาการที่บ่งบอกว่าร่างกายขาดน้ำ คือ คอแห้ง และปัสสาวะเป็นสีเข้ม หากรุนแรง มากสามารถทำให้หมดสติได้ ดังนั้น การป้องกันตนเองจากการเป็นลมแดด ก่อนที่จะออกแดด ให้จิบน้ำบ่อยๆ ช่วยให้ร่างกายดูดซับน้ำไว้ได้ดีกว่าการดื่มน้ำครั้งละมากๆ ที่ร่างกายจะขับออกไปกับปัสสาวะ และทำให้ปวดปัสสาวะบ่อย
นอกจากชดเชยด้วยการจิบน้ำแล้ว ยังต้องเติมเกลือแร่ให้กับร่างกาย อาจดื่มเกลือแร่ หรือถ้าไม่สะดวกให้ กินกล้วยที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม บ๊วยเค็มที่มีโซเดียม จะช่วยเติมเกลือแร่ให้ร่างกาย โดยควรกินพร้อมกับการดื่มน้ำแบบค่อยๆ จิบ
กรณีที่เป็นลมแดดไปแล้ว ให้รีบพักในที่ร่ม และประคบเย็นในบริเวณที่เส้นเลือดใหญ่ผ่าน เช่น คอ และสะโพก จากนั้นรีบไปพบแพทย์ที่ใกล้ที่สุด.
อาการที่บ่งบอกว่าร่างกายขาดน้ำ คือ คอแห้ง และปัสสาวะเป็นสีเข้ม หากรุนแรง มากสามารถทำให้หมดสติได้ ดังนั้น การป้องกันตนเองจากการเป็นลมแดด ก่อนที่จะออกแดด ให้จิบน้ำบ่อยๆ ช่วยให้ร่างกายดูดซับน้ำไว้ได้ดีกว่าการดื่มน้ำครั้งละมากๆ ที่ร่างกายจะขับออกไปกับปัสสาวะ และทำให้ปวดปัสสาวะบ่อย
นอกจากชดเชยด้วยการจิบน้ำแล้ว ยังต้องเติมเกลือแร่ให้กับร่างกาย อาจดื่มเกลือแร่ หรือถ้าไม่สะดวกให้ กินกล้วยที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม บ๊วยเค็มที่มีโซเดียม จะช่วยเติมเกลือแร่ให้ร่างกาย โดยควรกินพร้อมกับการดื่มน้ำแบบค่อยๆ จิบ
กรณีที่เป็นลมแดดไปแล้ว ให้รีบพักในที่ร่ม และประคบเย็นในบริเวณที่เส้นเลือดใหญ่ผ่าน เช่น คอ และสะโพก จากนั้นรีบไปพบแพทย์ที่ใกล้ที่สุด.